เอาบทวิเคราะห์มาตราการสินเชื่อ ของบ.เคจีไอ..มาให้อ่าน
แค่พอให้ได้รับทราบกัน ในห้องชายคา ค่ะ
…………………………………………………………………………………….
ประเด็นข่าว
เมื่อวันศุกร์ที่ 12 พ.ย. 53 ธปท. ได้ประกาศมาตรการใหม่ กล่าวคือ มาตรการควบคุมสัดส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าสินทรัพย์ (LTV) เพื่อควบคุมการปล่อยสินเชื่อบ้านของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน
สำหรับคอนโดมิเนี่ยม ที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิต สัดส่วน LTV จะถูกจำกัดอยู่ที่ 90.0% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554
ส่วนโครงการแนวราบ (บ้าน ทาวน์เฮ้าส์) สัดส่วน LTV จะถูกจำกัดอยู่ที่ 95.0% เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555
มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับการซื้ออสังหาฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 (สำหรับคอนโดมิเนี่ยม) และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 (สำหรับโครงการแนวราบ) เป็นต้นไป โดยจะไม่มีผลย้อนหลัง ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว ไม่มีผลบังคับใช้กับการปล่อยสินเชื่อให้กับข้าราชการพลเรือน และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
…………………………………………………………………………………….
ผลกระทบ
เราเห็นว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบค่อนข้างจำกัดต่อความต้องการอสังหาฯ แม้แต่ในตลาดที่อยู่อาศัยราคาถูกก็ตาม
ตามปกติผู้ประกอบการอสังหาฯ เรียกเงินมัดจำตามราคาของที่อยู่อาศัย กล่าวคือ ราคาที่อยู่อาศัยยิ่งสูง เงินมัดจำก็จะสูงยิ่งขึ้น สำหรับบริษัทพัฒนาฯ ที่มีลูกค้าเป้าหมายอยู่ในตลาดระดับล่างถึงกลาง โดยปกติเงินมัดจำจะอยู่ที่ 5.0-10.0%
ทั้งนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (GHB) ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐ และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของ ธปท. เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรายใหญ่ในตลาดที่อยู่อาศัยราคาถูก โดยธนาคารฯ จะปล่อยสินเชื่อที่ประมาณ 90.0-95.0% ของราคาที่อยู่อาศัย
ภายใต้มาตรการใหม่ดังกล่าว เราเชื่อว่าผลกระทบเพียงประการเดียวต่อผู้ประกอบการอสังหาฯ (ถ้าจะมี) คือ การชะลอซื้อบ้านของผู้ซื้อที่ไม่มีเงินเก็บพอจะจ่ายเงินมัดจำ อย่างไรก็ดี เนื่องจากตามปกติผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนมากจะเรียกเงินมัดจำ 5.0-10.0% หรือสูงกว่าจากลูกค้าอยู่แล้ว เราเชื่อว่ามาตรการใหม่ดังกล่าวแทบจะไม่มีผลกระทบผู้ประกอบการฯ เลย