กรณีที่สอง ธนาคารกับ บ.ประกัน มักจะมีเอี่ยวกันไม่ทางใดก้ทางหนึ่ง เช่น อาจจะเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน การที่ผุ้กู้ทำประกันก็ถือเป็นรายได้ให้กับบริษัทประกัน เพราะประกันชนิดนี้จะเป็นเบี้ยแบบจ่ายครั้งเดียว จ่ายแล้วจ่ายเลย ถ้าผุ้เอาประกันไม่เป็นอะไร ก็จะไม่ได้อะไรจากเงินก้อนนี้กับคืนมาเลย (ค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับเพศและอายุของผุ้กู้ รวมทั้งระยะเวลาการคุ้มครองค่ะ)

กรณีสุดท้าย เนื่องจากเบี้ยประกันเมื่อคำนวณออกมาแล้วมันอาจจะแพงเกินกว่าคนธรรมดาจะจ่ายได้ในครั้งเดียว ดังนั้นธนาคารจึงปล่อยวงเงินกู้เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันมาอีกวงเงินหนึ่ง นอกเหนือจากวงเงินกู้ซื้อบ้าน ซึ่งธนาคารก็ได้กินดอกเบี้ยตรงนี้เพิ่มอีก (เช็คเรื่องอัตราดอกเบี้ยดีๆ นะคะ ใช่ว่ามันจะเป้นเงื่อนไขเดียวกับดอกเบี้ยที่กู้ซื้อบ้าน)

จะเห็นได้ว่าธนาคารย่อมอยากให้ลุกค้าทำประกัน แต่ก็ขึ้นอยุ่กับเราแล้วล่ะค่ะที่จะตัดสินใจ ลองดูตัวเลขค่าเบี้ยประกัน กับผลประโยชน์ที่เราจะได้ มาชั่งน้ำหนักตัดสินใจ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการทำเพื่อคนข้างหลังล่ะค่ะ เพราะผลประโยชน์จะจ่ายแค่กรณีเสียชีวิตกับทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร ส่วนเรื่องดอกเบี้ยที่จะได้ลดเพิ่ม  ส่วนใหญ่ก็ลดแค่ช่วงโปรโมชั่นแรกๆ พอปีหลังๆ ก็ลอยตัวเท่ากัน เราว่าไม่ควรนำมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจซักเท่าไหร่

หวังว่าข้อมุลคงเป็นประโยชนืในการตัดสินใจนะคะ